ขั้นตอนการศึกษาต่อ(ข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทางการเข้าศึกษา) | ก้าวแรกของการศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่น | JPSS เว็บไซต์ข้อมูลการศึกษาต่อ

ขั้นตอนการศึกษาต่อ(ข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทางการเข้าศึกษา) | ก้าวแรกของการศึก...

FacebookInstagram
หากผ่านการคัดเลือก มีโอกาสได้รับทุนการศึกษา

> > > > ขั้นตอนการศึกษาต่อ(ข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทางการเข้าศึกษา)

ก้าวแรกของการศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่น

ลงทะเบียนฟรี

ลงทะเบียนฟรีเพื่อรับข้อมูลศึกษาต่อญี่ปุ่นที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

【เหตุผลที่ JPSS ถูกเลือก】
  1. ทุนการศึกษาจำกัดสิทธิ์เฉพาะผู้ลงทะเบียน JPSS
  2. ได้รับการติดต่อโดยตรงจากมหาวิทยาลัย
  3. ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาต่อที่มีคุณภาพ

อ่านรายละเอียดทางนี้

สำหรับสมาชิก สามารถ Login ได้ที่นี่

ขั้นตอนการศึกษาต่อ(ข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทางการเข้าศึกษา)

Share:

  • QQ
  • weibo
  • twitter
  • facebook
  • wechat

ขั้นตอนการศึกษาต่อมี 3 ขั้นตอน

วิธีการในการเข้าศึกษาในวิทยาลัยระดับอนุปริญญา,วิทยาลัยอาชีวศึกษา,คณะในมหาวิทยาลัย,บัณฑิตวิทยาลัยของญี่ปุ่น ไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว แต่มี 3 วิธีการหลักๆดังต่อไปนี้
แบบ A เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลังจากศึกษาภาษาญี่ปุ่นในสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นในญี่ปุ่นแล้ว
แบบ B มาญี่ปุ่นเพื่อเข้าสอบคัดเลือกในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยอาชีวศึกษา และเข้าศึกษาหากสอบผ่าน
แบบ C สอบคัดเลือกที่ต่างประเทศ แล้วมาญี่ปุ่นหลังจากได้รับอนุญาตให้เข้าศึกษาต่อ
วิธีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารหรือวิธีการเข้าสอบคัดเลือกเพื่อศึกษาต่อ, ขั้นตอนการขอวีซ่าแตกต่างกันตามขั้นตอน/แนวทางที่เลือก นอกจากนี้ระยะเวลาในการศึกษาหรือค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกัน ไม่ว่าแบบไหนก็มีข้อดีข้อเสียอยู่ จึงได้ลองเรียบเรียงข้อมูลข้อดีและข้อเสียทั่วไปของแต่ละแบบ ขอให้ลองคิดแผนการศึกษาต่อเพื่อไม่ให้เกินกำลังของตนเองว่าจะเป็นแบบไหน

แบบ A

"แบบ A ขั้นแรกคือมาญี่ปุ่นหลังจากได้รับอนุญาตเข้าศึกษาต่อในสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น และสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยอาชีวศึกษา หลังจากจบการศึกษาภาษาญี่ปุ่นในสถาบันสอนภาษาในญี่ปุ่นแล้ว
ข้อดีของวิธีการนี้ มีดังต่อไปนี้
○ไม่ต้องเสียเวลามากในการศึกษาภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศของตนเอง

○ ทำให้ความสามารถด้านภาษาญี่ปุ่นซึ่งเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น จากการใช้เวลาในการศึกษาภาษาญี่ปุ่น 6 เดือน ~ 2 ปี

○ คุ้นเคยกับการดำรงชีวิตในญี่ปุ่นในระยะเวลาที่ศึกษาภาษาญี่ปุ่นอยู่

○ได้รับข้อมูลที่ละเอียดง่ายกว่าการหาข้อมูลจากประเทศของตนเอง โดยการหาข้อมูลสถานที่ที่จะศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นโดยตรง

สำหรับข้อเสียของวิธีการนี้ มีดังต่อไปนี้

●ระยะเวลาตั้งแต่มาญี่ปุ่นจนถึงจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยค่อนข้างยาวนาน ทำให้ค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อรวมค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ฯลฯ เป็นมูลค่าที่สูง

●ระยะเวลาในการศึกษาภาษาญี่ปุ่นจะใช้เวลานานที่สุดถึง 2 ปี กรณีที่ไม่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัยอาชีวศึกษาใดเลยในระยะเวลา 2 ปีจะต้องกลับประเทศของตนเอง"

แบบ B

"แบบ B ขั้นแรกคือรับข้อมูลของสถาบันที่จะเข้าศึกษาต่อจากประเทศของตนเอง ดำเนินการยื่นสมัครเรียนและรับเอกสารการสอบคัดเลือก จากนั้นจะมาญี่ปุ่นในช่วงวันที่สอบคัดเลือก,เข้าสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยอาชีวศึกษา และกลับประเทศก่อนเพื่อรอผลสอบ หากสอบผ่านก็จะมาญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อเข้าศึกษาต่อ
ข้อดีของแบบ B มีดังต่อไปนี้

○ ระยะเวลาตั้งแต่มาญี่ปุ่นจนถึงจบการศึกษาสั้นกว่าแบบ A ทำให้ค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อถูกกว่าแบบ A

○ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการสอบคัดเลือก หากรอโอกาสต่อไปที่ประเทศของตนเองจะทำให้การรับภาระทั้งด้านเวลาและด้านค่าใช้จ่ายน้อยลง

○ หากขั้นตอนการสอบคัดเลือก・ประกาศผลสอบ・เข้าศึกษาเสร็จสิ้นในช่วงเวลาที่ได้วีซ่าระยะสั้นพำนักอยู่ในญี่ปุ่น ก็สามารถเปลี่ยนสถานภาพการพำนักอาศัย(ญี่ปุ่น)เป็น「ศึกษาต่อ」และพำนักอาศัยในญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องกลับประเทศ
สำหรับข้อเสียของวิธีการนี้ มีดังต่อไปนี้

●จำเป็นต้องมีความสามารถด้านภาษาญี่ปุ่น (ความสามารถด้านภาษาอังกฤษแล้วแต่สถาบันการศึกษา) อย่างเพียงพอตั้งแต่ที่อยู่ในประเทศของตนเอง

●กรณีที่ไม่สามารถสมัครโดยตรงจากประเทศของตนเองได้ ต้องดำเนินการสมัครผ่านเพื่อน・คนรู้จักหรือญาติที่ญี่ปุ่น

●กรณีที่ต้องสอบ 2 อย่างคือทั้งการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น (EJU) และการสอบคัดเลือกของสถาบันการศึกษาที่จะศึกษาต่อ จะต้องเดินทางไป-กลับระหว่างประเทศของตนเองกับญี่ปุ่นหลายครั้ง กรณีที่ไม่เดินทางไป-กลับ และต้องพำนักอยู่ญี่ปุ่นนานขึ้นก็ทำให้ค่าใช้จ่ายในการพักอาศัยเพิ่มมากขึ้น "

แบบ C ได้รับอนุญาตเข้าศึกษาก่อนมาญี่ปุ่น

มีหลายสถาบันการศึกษาในวิทยาลัยระดับอนุปริญญา,มหาวิทยาลัย,บัณฑิตวิทยาลัย ที่อนุญาตให้เข้าศึกษาได้โดยการเข้าสอบคัดเลือกเพื่อศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นจากต่างประเทศแล้วใช้ผลการสอบนั้นเพื่อขออนุญาตเข้าศึกษาต่อ แต่ปัจจุบันที่ประเทศจีนไม่มีการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น
นอกจากนี้ยังมีการอนุญาตให้เข้าศึกษาต่อจากการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาต่อจากต่างประเทศ,ตรวจสอบเอกสารที่ส่งมาจากต่างประเทศแม้จะไม่ทำการสอบคัดเลือกเพื่อศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น
วิธีการคัดเลือกแบบนี้เรียกว่า「อนุญาตให้เข้าศึกษาต่อก่อนมาญี่ปุ่น」
มหาวิทยาลัยบางแห่งเปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษที่อนุญาตให้คุณเข้าเรียนโดยไม่ต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นและใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนและจบการศึกษาได้ โดยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปสอบที่ญี่ปุ่น แต่อนุญาตให้สอบจากต่างประเทศได้
กรุณาดูรายการหลักสูตรภาษาอังกฤษในเว็บไซต์ด้านล่างนี้
https://www.jpss.jp/th/univ/english/
ข้อดีของวิธีการศึกษาต่อด้วยวิธีแบบ C มีดังนี้
○ระยะเวลาตั้งแต่มาญี่ปุ่นจนถึงจบการศึกษาสั้นกว่าแบบ A ทำให้ค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อถูกกว่าแบบ A
○ไม่จำเป็นต้องมาญี่ปุ่นเพื่อสอบคัดเลือกเหมือนกับแบบ B ทำให้การรับภาระด้านเวลาหรือค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแบบ B
○สามารถมาญี่ปุ่นแล้วเริ่มศึกษาวิชาเฉพาะด้านได้ทันที
○สำหรับนักศึกษาวิจัยระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยรัฐบาล มีหลายแห่งที่อนุญาตให้เข้าศึกษาโดยการตรวจสอบเอกสารที่ส่งมาจากต่างประเทศ
สำหรับข้อเสียของวิธีการนี้ มีดังต่อไปนี้
●จำเป็นต้องมีความสามารถด้านภาษาญี่ปุ่น(ความสามารถด้านภาษาอังกฤษแล้วแต่สถาบันการศึกษา)อย่างเพียงพอจากประเทศของตนเอง
●จำนวนสถาบันการศึกษาที่อนุญาตให้เข้าศึกษาต่อก่อนมาญี่ปุ่นมีน้อยทำให้ขอบเขตในการค้นหาแคบกว่าแบบอื่น
●เนื่องจากไม่ได้รับข้อมูลสถาบันการศึกษาจากประเทศของตนเองอย่างเพียงพอ หลังจากที่เข้าศึกษาไปแล้วอาจจะพบว่าสถาบันที่เข้าศึกษากับความคาดหวังไม่ตรงกัน

<< Back  |  Index Page  |  Next >>

Share

  • QQ
  • weibo
  • twitter
  • facebook
  • wechat

แนะนำทุนการศึกษา

ค้นหาสถานที่ศึกษาต่อ

เลือกประเภทของสถาบันการศึกษา

มหาวิทยาลัย
บัณฑิตวิทยาลัย
วิทยาลัยอาชีวศึกษา
วิทยาลัยระดับอนุปริญญา
สถาบันการศึกษาทั้งหมด
自分の適性を調べて、今後の進路を考えてみよう。軽いゲーム感覚で40の質問に答えてね。